อาการปวดหัวตัวร้อนเป็นไข้เป็นอาการที่เกิดขึ้นได้ทั่วไปไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเด็กเมื่ออาการเหล่านี้เกิดขึ้นแล้วก็จำเป็นที่จะต้องรับประทานยาพาราเด็กเพื่อบรรเทาอาการ ซึ่งยาพาราสำหรับเด็กมีวิธีการใช้ที่แตกต่างกับผู้ใหญ่ในบางเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นปริมาณยาที่ต้องรับประทาน หรือการใช้ยาตามช่วงอายุ และอื่นๆ ที่คุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองต้องใส่ใจในการใช้ยาพาราเด็กเป็นพิเศษ วันนี้จึงขอพาไปพบกับสาระสุขภาพดีๆเกี่ยวกับยาพาราเด็กพร้อมแนะนำวิธีการใช้ที่ปลอดภัยให้กับลูกหลานที่เรารัก
ทำความรู้จัก กับ ยาพาราเด็ก
ยาพาราเด็ก คือยาพาราเซตามอล (Paracetamol) หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่าอะเซตามิโนเฟน (Acetaminophen) มีประสิทธิภาพในการบรรเทาอาการปวด ช่วยลดไข้ โดยตัวยาพาราเด็กจะออกฤทธิ์ลดการสร้าง การหลั่งสารพรอสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ในระบบประสาทส่วนกลาง พร้อมทำการยับยั้งการกระตุ้นของสารก่อไข้ในบริเวณศูนย์ควบคุมอุณหภูมิในสมอง
ยาพาราสำหรับเด็กเป็นยาที่ความปลอดภัย ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ และมักจะมาในรูปแบบน้ำเชื่อมมีรสชาติ และกลิ่นหอมเพื่อให้ง่ายต่อการรับประทาน อย่างยาบาคามอลชนิดน้ำเชื่อม 120 มก. / 5 มล. สามารถหาซื้อได้ง่ายตามร้านขายยา และร้านสะดวกซื้อทั่วไป ปลอดภัยต่อเด็กไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ ช่วยลดไข้ บรรเทาอาการปวดต่าง ๆ ได้ดี เช่น ปวดกล้ามเนื้อ ปวดฟัน ปวดศีรษะ ที่สำคัญผลิตโดยบริษัทในเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ ที่ได้มาตรฐาน GMP ISO 9100
รู้ไว้ ได้เปรียบ! ชวนทำความรู้จัก ยาแก้ปวดหัว
9 วิธี ใช้ยาพาราเด็กให้ปลอดภัย
การเลือกใช้ยาพาราเด็กเป็นสิ่งสำคัญต่อสุขภาพลูกหลานเมื่อมีอาการเป็นไข้ ตัวร้อน ยิ่งถ้าทราบถึงวิธีการใช้ที่ถูกต้องก็จะยิ่งทำให้ได้รับประสิทธิผลจากยาดียิ่งขึ้น และยังเกิดความปลอดภัยต่อสุขภาพของเด็กๆ อีกด้วย วันนี้จึงขอมาแชร์ 9 วิธี ใช้ยาพาราเด็กอย่างไรให้ปลอดภัยดังต่อไปนี้
1. เลือกใช้ยาในกลุ่มยาลดไข้
ข้อแรกคือการเลือกใช้ยาในกลุ่มยาลดไข้จะทำให้เกิดความปลอดภัยต่อเด็กมากกว่า เพราะยาที่ใช้ลดไข้บางกลุ่มอาจมีผลข้างเคียงต่อการแข็งตัวของเลือด เช่น ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDS ที่ผลต่อการแข็งตัวของเลือด การใช้ยาแก้ปวดกลุ่มนี้ในเด็กเพื่อลดไข้อาจทำให้เกิดอาการข้างเคียงที่เป็นอันตรายได้ ฉะนั้นการเลือกใช้ยาเพื่อลดไข้ในเด็กให้ปลอดภัยแนะนำให้ใช้กลุ่มยาลดไข้ เช่น พาราเซตามอล ซึ่งมีความเสี่ยงน้อยและปลอดภัยมากกว่า รวมทั้งมีรูปแบบของยาเป็นยาพาราเด็กชนิดน้ำ เด็กสามารถรับประทานได้ง่ายอีกด้วย
2. ปฏิบัติตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
การปฏิบัติตามที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัดเป็นสิ่งสำคัญในการใช้ยาทุกชนิด เพราะยาทุกตัวสามารถช่วยบรรเทาอาการให้ดีขึ้น แต่ยาทุกตัวก็มีข้อจำกัดในการใช้ที่แตกต่างกันออกไป การรับประทานยาพาราเด็กให้ปลอดภัยก็เช่นกัน พ่อแม่ผู้ปกครองควรปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด ควรใช้ยาพาราเด็กตามปริมาณที่แพทย์แนะนำ ไม่ควรให้เด็กรับประทานยามากหรือน้อยเกินไปเพื่อให้ได้รับประสิทธิผลจากยาเต็มที่ และไม่เกิดผลข้างเคียงต่อเด็ก
3. เลือกใช้ยาพาราเด็กให้เหมาะสมกับน้ำหนักตัว
ปริมาณการใช้ยาในแต่ละครั้งที่เด็กต้องรับประทานจะขึ้นอยู่กับน้ำหนักของเด็ก ดังนั้นเพื่อให้เด็กได้รับประสิทธิผลจากการใช้ยาอย่างเต็มที่ และไม่เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย จึงทำให้น้ำหนักตัวของเด็กจึงเป็นเรื่องที่ต้องให้ความสำคัญ
จึงทำให้การให้ยาพาราเด็กในรูปแบบน้ำเชื่อมในแต่ละคนมีปริมาณแตกต่างกันออกไปตามน้ำหนักตัว ฉะนั้นการใช้ยาพาราเด็กให้ปลอดภัยคุณพ่อคุณแม่ผู้ปกครองต้องทราบถึงน้ำหนักตัวของเด็กเพื่อที่จะได้คำนวณปริมาณการใช้ยาได้อย่างถูกต้อง
4. ยาที่ใช้ให้เหมาะสมกับช่วงอายุเด็ก
ช่วงอายุของเด็กก็เป็นเรื่องสำคัญที่ควรใส่ใจเช่นเดียวกัน เพราะจะเกี่ยวกับเรื่องความปลอดภัยในการใช้ยาเช่น ในเด็กเล็กช่วงอายุไม่เกิน 6 เดือนแพทย์จะจ่ายยาที่มีความปลอดภัยสูง ผลข้างเคียงน้อยอย่างพาราเซตามอลให้เพื่อลดไข้ แก้ปวด แต่ถ้าเด็กที่อายุ 6 เดือนขึ้นไปแพทย์อาจมีการจ่ายยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDS ให้ในบางกรณี แต่ไม่ว่าจะจ่ายยาชนิดใดก็ตามการใช้ยาทุกชนิดจำเป็นต้องปฏิบัติตามที่แพทย์และเภสัชกรแนะนำเสมอ
5. รับประทานยาพาราเด็กเมื่อมีอาการ
การรับประทานยาพาราเด็กให้ได้ประสิทธิผลดีควรรับประทานเมื่อมีอาการเสมอ เช่น เป็นไข้ ตัวร้อน ปวดศีรษะ ไม่ควรรับประทานล่วงหน้า ก่อนมีอาการ หรือรับประทานโดยไม่จำเป็น เพราะการรับประทานยาพาราเด็กเมื่อมีอาการจะทำให้การออกฤทธิ์ของยามีประสิทธิภาพมากกว่าการรับประทานล่วงหน้า
6. ไม่ควรรับประทานติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน
การใช้ยาพาราเด็กให้ปลอดภัยสำคัญที่สุดก็คือไม่ควรให้ลูกๆ หลานๆ รับประทานยาพาราเด็กติดต่อกันเป็นเวลานาน แม้ว่ายาพาราเด็กจะมาในรูปแบบน้ำเชื่อมรับประทานง่าย มีกลิ่นหอม เพราะการรับประทานยาพาราเด็กติดต่อกันเป็นเวลานานจะส่งผลเสียต่อร่างกายเด็กมากกว่าผลดี
7. ให้ความใส่ใจในอุปกรณ์การป้อนยา
สำหรับการใช้ยาพาราเด็กให้ปลอดภัย และได้ประสิทธิผลจำเป็นต้องได้รับยาในปริมาณที่ถูกต้อง จึงจำเป็นต้องใส่ใจในการใช้อุปกรณ์ป้อนยา โดยส่วนใหญ่แล้วอุปกรณ์ป้อนยาพาราน้ำเด็กนั้นมักจะมีช้อนยามาในกล่องยาด้วยเสมอ แนะนำว่าให้ใช้ช้อนที่มาพร้อมกับยานั้น ไม่ควรใช้ช้อนอื่นเพราะอาจทำให้เด็กได้รับยาปริมาณที่ไม่ถูกต้อง
8. ใช้ยาเหน็บเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการลดไข้
การใช้ยาเหน็บ หรือพาราเซตามอลแบบเหน็บทางทวารหนักเพื่อบรรเทาอาการตัวร้อนเป็นไข้จะใช้ในเด็กที่อายุ 6 เดือนขึ้นไป ซึ่งจะใช้ในกรณีที่เด็กรับประทานยาได้ยาก มีปัญหาในการรับประทานยาพาราเด็ก เช่น มีอาการอาเจียน อาจทำให้จำเป็นต้องใช้ยาเหน็บทางทวารหนัก
อย่างไรก็ตามการใช้ยาเหน็บก็ต้องเลือกใช้ยาตามน้ำหนักตัวของเด็กด้วยเช่นกัน ซึ่งยาเหน็บทางทวารหนักมี หลายขนาด แบ่งการใช้ตามน้ำหนักตัวเด็ก เช่น
- ยาเหน็บขนาด 80 mg
- ยาเหน็บขนาด 120 mg
- ยาเหน็บขนาด 125 mg สำหรับเด็กที่มีน้ำหนัก 12-15 กิโลกรัม
- ยาเหน็บขนาด 250 mg
9. พบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม
วิธีสุดท้ายคือการพบแพทย์เพื่อรับการรักษาที่เหมาะสม เพราะในบางครั้งการรับประทานยาพาราเด็กอาการไข้อาจไม่ดีขึ้น เด็กยังคงมีไข้อยู่ หรือมีอาการอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น อาเจียน เบื่ออาหาร ท้องเสีย ทารกไม่ปัสสาวะนาน 8 ชั่วโมง เป็นต้น หากเกิดอาการเหล่านี้ร่วมด้วยแนะนำให้คุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครองควรพาเด็กๆ ไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยอาการ และรับการรักษาที่เหมาะสม
วิธีคำนวณยาพาราน้ำสำหรับเด็ก
ยาพาราน้ำสำหรับเด็ก มีหลายชนิด เช่น
- ชนิดดรอปคือทานด้วยหลอดหยด ความเข้มข้น 60 มิลลิกรัมต่อ 0.6 ซีซี
- ชนิดดรอปคือทานด้วยหลอดหยด ความเข้มข้น 80 มิลลิกรัมต่อ 0.8 ซีซี
- ชนิดทานด้วยช้อน ความเข้มข้น 250 มิลลิกรัมต่อ 5 ซีซี (1 ช้อนชา)
- ชนิดทานด้วยช้อน ความเข้มข้น 120 มิลลิกรัมต่อ 5 ซีซี (1 ช้อนชา)
เด็กควรรับประทานยาพาราไม่เกิน 10-15 มิลลิกรัม ต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม เช่น ถ้าหากหนัก 10 กิโลกรัม ยาชนิดดรอป ไม่เกินครั้งละ 1-1.5 ซีซี ยาชนิดเข้มข้น 250 มิลลิกรัม ไม่เกินครั้งละ 2-3 ซีซี ยาชนิดเข้มข้น 120 มิลลิกรัม ไม่เกินครั้งละ 4.2-6.25 ซีซี
วิธีเช็ดตัวเพื่อลดไข้ให้ลูกน้อย
การเช็ดตัวถือเป็นวิธีที่สามารถช่วยลดไข้ ระบายอุณหภูมิความร้อนออกจากร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพอีกหนึ่งวิธีที่ไม่แพ้การรับประทานยาพาราเด็กเพื่อลดไข้ โดยการเช็ดตัวเพื่อให้ระบายความร้อนได้ดีควรปฏิบัติตามขั้นตอนดังต่อไปนี้
- วัดอุณหภูมิร่างกายของเด็กก่อน
- ถอดเสื้อผ้าของเด็กออกให้เรียบร้อย เพื่อที่จะได้เช็ดตัวได้อย่างสะดวก
- ใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำหมาดๆ โดยน้ำที่ใช้เช็ดตัวนั้นควรเป็นน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นเล็กน้อย
- เริ่มเช็ดตัว และเช็ดให้ทั่วทุกส่วนของร่างกาย เริ่มตั้งแต่ศีรษะและไล่มาจนถึงเท้า โดยให้ความสำคัญในการเช็ดตามข้อพับตามต่างๆ มากที่สุด โดยควรเช็ดตัวให้นานประมาณ 15-30 นาที และไข้ซ้ำทุกๆ 4 ชั่วโมง
- หากมีไข้เพิ่มสามารถเช็ดตัวซ้ำเพื่อระบายอุณหภูมิออกจากร่างกายได้อีก
สิ่งที่ต้องเตรียมเพื่อใช้เช็ดตัว
สิ่งที่ต้องเตรียมเพื่อใช้เช็ดตัวโดยทั่วไปแล้วก็จะมีภาชนะใส่น้ำขนาดใดก็ได้ จะเป็นขนาดเล็กหรือขนาดใหญ่ตามความเหมาะสม นอกจากภาชนะใส่น้ำแล้วก็ยังมีผ้าขนหนู โดยอาจจะต้องเตรียมมากกว่า 1 ผืนเพื่อผลัดเปลี่ยนในการเช็ดตัวให้เด็ก และที่ต้องให้ความสำคัญเป็นพิเศษก็คือน้ำที่ใช้เช็ดตัว โดยน้ำที่ใช้เช็ดตัวควรเป็นน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นเล็กน้อยจะช่วยให้การเช็ดตัวสามารถลดไข้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คำถามที่พบบ่อย
ตอบคำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับยาพาราเด็ก
1. เด็กทารก 2 เดือน กินยาลดไข้ได้ไหม ?
ในเด็กทารกตั้งแต่แรกเกิดไปจนถึงช่วงอายุ 3 เดือนนั้น หากมีอาการเป็นไข้ ตัวร้อน แนะนำว่าให้ลดไข้ด้วยการเช็ดตัว และควรพาไปพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย และรับการรักษาที่เหมาะสม ไม่ควรรับประทานยาลดไข้ด้วยตนเองเพราะอาจได้รับผลข้างเคียงจากยา
2. ยาลดไข้ใช้เวลาออกฤทธิ์กี่นาที ?
โดยปกติแล้วยาพาราเด็กหรือยาลดไข้เมื่อรับประทานไปแล้วจะใช้เวลาในการออกฤทธิ์ประมาณ 30 นาที ทั้งนี้ทั้งนั้นหากเด็กรับประทานยาไปแล้วสังเกตเห็นว่าอาการยังไม่ดีขึ้น ไข้ยังไม่ลดลง ครบระยะเวลา 4 ชั่วโมงแล้วผู้ปกครองสามารถให้รับประทานยาได้อีกครั้ง
3. ลูกตัวร้อน แต่ไม่มีน้ำมูก กินยาลดไข้ได้ไหม ?
ในกรณีที่เด็กตัวร้อน เป็นไข้ และมีอุณหภูมิร่างกายสูงกว่า 38.5 องศาเซลซียส หากมีอายุ 3 เดือนขึ้นไปสามารถให้กินยาลดไข้ได้ตามปริมาณที่เหมาะสมกับน้ำหนักตัวคือ 10-15 มิลลิกรัมต่อน้ำหนัก 1 กิโลกรัม โดยรับประทานยาทุก 4-6 ชั่วโมง แต่ถ้ากินยาแล้วอาการตัวร้อน เป็นไข้ยังไม่ดีขึ้น ควรรีบพาไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัย และได้รับการรักษาที่เหมาะสม
สรุป
ยาพาราเด็กเป็นเพียงยาบรรเทาอาการไข้ ปวดศีรษะในเด็กให้มีอาการดีขึ้น โดยจะมาในรูปแบบน้ำเชื่อมที่สามารถรับประทานได้ง่าย ซึ่งการใช้ยาพาราเด็กให้ปลอดภัยจำเป็นจะต้องปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ ใส่ใจปริมาณยาพาราของเด็กที่ต้องรับประทาน โดยควรให้รับประทานในปริมาณที่เหมาะสม อย่างไรก็ตามหากสังเกตอาการบุตรหลานแล้วพบว่าไข้ยังไม่ลด อาการยังไม่ดีขึ้น แนะนำว่าควรพาไปพบแพทย์เพื่อรับการรักษา