เชื่อว่าหลายคนยังใช้ยาแก้ปวดในการรักษาอาการปวดเบื้องต้น ไม่ว่าจะมีอาการปวดแบบไหนก็มักจะนึกถึงยาแก้ปวดเป็นอันดับแรก โดยเฉพาะยาพาราเซตามอลที่ต้องมีติดไว้เป็นยาสามัญประจำบ้าน ยิ่งไปกว่านั้นบางคนยังมีความเชื่อที่ว่าให้กินยาดักไว้ก่อนแล้วจะไม่ป่วย ซึ่งในความเป็นจริงแล้วยาแก้ปวดมีอยู่หลายประเภท และแต่ละประเภทก็มีกลไกการออกฤทธิ์ระงับอาการปวดที่แตกต่างกัน ดังนั้นการใช้ยาแก้ปวดจำเป็นต้องทราบว่ากำลังปวดอะไรแบบไหนอยู่ จึงจะเลือกยาแก้ปวดให้ถูกกับอาการได้
ถึงแม้จะทราบว่าตนเองกำลังปวดอะไรอยู่ แต่ถ้าไม่มีความรู้เรื่องชนิดของยาแก้ปวด ก็อาจทำให้เลือกใช้ยาผิดประเภทและนำมาสู่อันตรายต่อร่างกายได้ ในบทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับยาแก้ปวดอย่างละเอียด เพื่อให้คุณสามารถเลือกใช้ยาแก้ปวดได้ถูกประเภทและปลอดภัย
สารบัญบทความ
- ทำความรู้จักกับยาแก้ปวด
- กระบวนการออกฤทธิ์ของยาแก้ปวด
- ประเภทของยาแก้ปวด
- กลุ่มคนที่ต้องปรึกษาแพทย์ หรือ เภสัชกร ก่อนใช้ยา
- อาการปวดแบบไหนที่ไม่สามารถบรรเทาอาการด้วยยาแก้ปวดได้
- วิธีทานยาแก้ปวดที่ถูกต้องและปลอดภัย
- ยาแก้ปวดกินบ่อย ๆ อันตรายไหม ?
- อาการข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น
- สามารถหาซื้อยาแก้ปวดได้ที่ไหนบ้าง ?
- คำถามที่พบบ่อย
- สรุป
ทำความรู้จักกับยาแก้ปวด
ยาแก้ปวดเป็นคำเรียกโดยรวมของยาที่ใช้รักษาอาการปวด ซึ่งอาการปวดที่เกิดขึ้นมีหลากหลายแบบ เช่น ปวดหัว ปวดฟัน ปวดท้อง ปวดกล้ามเนื้อ ปวดกระดูก ปวดข้อ เป็นต้น อาการปวดแต่ละชนิดที่กล่าวมานี้อาจมีสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดต่างกัน ดังนั้นการเลือกใช้ยาแก้ปวดหรือไม่ การใช้ยาแก้ปวดชนิดไหนจำเป็นต้องแยกสาเหตุที่ทำให้เกิดอาการปวดให้ได้เสียก่อน
โดยยาแก้ปวดนั้นมีหลายรูปแบบขึ้นอยู่กับจุดประสงค์ในการใช้ และการออกแบบของบริษัทยา เช่น
- ยาแก้ปวดรูปแบบเม็ด : ยาแก้ปวดส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปแบบเม็ด (Tablet) เช่น ยาพาราเซตามอล, ยาไอบูโพรเฟน โดยรูปลักษณ์และสีของเม็ดยาอาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับแบรนด์ที่ผลิต แต่โดยส่วนมากเพื่อให้สังเกตและระบุชนิดของยาแก้ปวดได้ง่าย มักจะทำรูปแบบเม็ดยาออกมาคล้าย ๆ กัน เช่น หากเป็นยาพาราเซตามอลก็จะมีเม็ดสีขาว หรือสีเหลือง หากเป็นยาแก้ปวดสีชมพูก็มักจะเป็นยาไอบูโพรเฟน เป็นต้น
- ยาแก้ปวดรูปแบบแคปซูล : ยาแก้ปวดรูปแบบแคปซูลมักมีให้เห็นทั้งรูปแบบแคปซูลเปลือกแข็งและแคปซูลเปลือกนิ่ม โดยยาที่อยู่ในรูปแบบแคปซูลมักจะเป็นตัวยาที่ไวต่อแสง ไวต่ออากาศ หรืออยู่ในกลุ่มของยาปฏิชีวนะ โดยเม็ดสีแคปซูลก็มักจะเป็นเอกลักษณ์ของยาแต่ละชนิด
- ยาแก้ปวดในรูปแบบน้ำ : ที่เห็นส่วนมากมักจะเป็นยาที่ออกแบบมาเพื่อให้เด็กสามารถรับประทานได้ง่าย เช่น ยาพาราเซตามอลชนิดน้ำสำหรับเด็ก
- ยาแก้ปวดชนิดใช้ภายนอก : มีทั้งรูปแบบครีม เจล สเปรย์ แผ่นแปะ เป็นต้น ส่วนใหญ่มักเป็นยาทาแก้ปวดกล้ามเนื้อ ยาแก้ปวดเมื่อย
- ยาแก้ปวดในรูปแบบฉีด : ยาแก้ปวดรูปแบบฉีดมักจะออกฤทธิ์เร็ว ตัวยาค่อนข้างแรงและมีผลข้างเคียงมากกว่ายาแก้ปวดชนิดอื่น มักจะใช้ในผู้ป่วยที่ไม่สามารถรับประทานยาด้วยตนเองได้ หรือผู้ที่มีอาการปวดรุนแรงจนยาแก้ปวดชนิดรับประทานไม่เพียงพอต่อการระงับปวดได้ โดยแพทย์จะเป็นผู้จ่ายยาแก้ปวดแบบฉีดให้เท่านั้น การฉีดยาแก้ปวดสามารถฉีดเข้าหลอดเลือดดำ หรือฉีดเข้ากล้ามเนื้อขึ้นอยู่กับประเภทของยา
กระบวนการออกฤทธิ์ของยาแก้ปวด
หลายคนอาจสงสัยว่ายาแก้ปวดรู้ได้อย่างไรว่าเรามีอาการปวดตรงไหน? ในความเป็นจริงแล้ว อาการปวดโดยปกติมักเกิดจากสมองได้รับสัญญาณเตือนจากส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย จากนั้นสมองก็จะสั่งให้เกิดการสร้างสารเคมีบางอย่าง ที่ทำให้เกิดอาการปวดบริเวณที่ส่งสัญญาณมาในตอนแรก
เมื่อรับประทานยาแก้ปวดเข้าไป สารเคมีจากตัวยาแก้ปวดที่มีฤทธิ์ระงับอาการปวดก็จะถูกย่อยอยู่ในระบบทางเดินอาหาร จากนั้นก็ถูกดูดซึมเข้าสู่หลอดเลือดพร้อมกับสารอาหาร และไหลเวียนไปทั่วร่างกาย เมื่อยาแก้ปวดที่ไหลเวียนอยู่ในระบบไหลเวียนโลหิต ไปเจอกับสารเคมีที่หลั่งจากคำสั่งของสมองเพื่อให้เกิดอาการปวด ตัวยาแก้ปวดจะมีหน้าที่เข้าไปยับยั้งการทำงานของสารเคมีนั้น ทำให้อาการปวดบรรเทาลง
สำหรับการออกฤทธิ์ของยาแก้ปวดในรูปแบบฉีดจะคล้ายกับยาแก้ปวดชนิดรับประทาน อาจแตกต่างกันในเรื่องการรับยา ยาแก้ปวดแบบฉีดเข้าหลอดเลือดดำตัวยาจะเข้าสู่ระบบไหลเวียนเลือดโดยตรง ไม่มีการย่อยและดูดซึม หรือหากฉีดผ่านกล้ามเนื้อตัวยาก็จะสะสมอยู่ที่กล้ามเนื้อและค่อย ๆ ปล่อยตัวยาให้เข้าสู่ระบบไหลเวียนโลหิตต่อไป
อย่างไรก็ตามการทำงานของยาแก้ปวดนั้นมีความสามารถแตกต่างกัน สำหรับอาการปวดบางอย่างจำเป็นต้องใช้ยาแก้ปวดแบบจำเพาะเจาะจง หากไม่ใช้ยาให้ถูกกับโรคก็ไม่สามารถแก้อาการปวดได้
ประเภทของยาแก้ปวดที่นิยมใช้ทั่วไป
ยาแก้ปวดสามารถแบ่งได้ตามกลไกการออกฤทธิ์ของยา มี 3 ประเภทหลัก ๆ ที่นิยมใช้
1. พาราเซตามอล (Paracetamol)
ยาพาราเซตามอล หรือยาแก้ปวดหัวที่ถูกจัดเป็นยาสามัญประจำบ้าน เป็นยาที่ออกฤทธิ์บรรเทาอาการปวดได้เล็กน้อยถึงปานกลาง โดยตัวยาจะไปยับยั้งการสร้างโพรสตาแกลนดิน (Prostaglandin) ซึ่งเป็นสารตัวกลางที่ทำให้เกิดอาการปวดและไปเพิ่มระดับของเซโรโทนิน (Serotonin) ที่ช่วยลดอาการเจ็บปวด ทำให้ยาพาราเซตามอลสามารถลดความรู้สึกปวดได้
นอกจากนี้ยาพาราเซตามอลยังมีคุณสมบัติลดไข้อีกด้วย ทำให้เวลามีไข้แพทย์มักจะจ่ายยาพาราเซตามอลมาให้รับประทานด้วยเสมอ
- คุณสมบัติของยาพาราเซตามอล
- บรรเทาอาการปวดได้หลายรูปแบบ เช่น ปวดศีรษะ ปวดข้อ ปวดฟัน ปวดกล้ามเนื้อ
- สามารถรักษาอาการปวดได้ตั้งแต่ระดับเล็กน้อยจนถึงระดับปานกลาง
- มีฤทธิ์ในการลดไข้
- ไม่มีฤทธิ์ลดการอักเสบ
- ข้อควรระวังในการใช้ยา
- ระวังเรื่องการใช้ยาพาราเซตามอลเกินขนาด เนื่องจากยาเป็นพิษต่อตับ
- ห้ามใช้ยาพาราเซตามอลกับผู้ที่มีอาการแพ้ หากพบอาการผิดปกติที่สงสัยว่าจะเกิดจากการแพ้ยา เช่น ผื่นขึ้น หายใจลำบาก หน้าบวม ผิวลอก ให้รีบพบแพทย์ทันที
- ห้ามใช้ยาพาราเซตามอลร่วมกับการดื่มสุรา หรือการรับประทานยาบางประเภท เช่น ยากันชัก ยาต้านวัณโรค เนื่องจากทำให้ยาพาราเซตามอลเป็นพิษต่อตับมากขึ้น
- ผู้ที่เป็นโรคตับ โรคไต ควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาพาราเซตามอลทุกครั้ง
สำหรับ Bakamol เป็นยาแก้ปวดเม็ดสีเหลือง ประกอบไปด้วยตัวยาพาราเซตามอล 500 mg ใช้บรรเทาอาการปวดและลดไข้ ผลิตภายในห้องสะอาด (Clean room class D) และมีระบบอากาศ (HVAC) เพื่อป้องกันการปนเปื้อนไม่ว่าจะจากภายในหรือภายนอก ผลิตตามมาตรฐานระดับสากล ISO9001:2008 และได้รับการรองรับมาตรฐานจากองค์การอาหารและยา (อย.)
2. ยาต้านการอักเสบ หรือ ยาแก้อักเสบ (NSAIDs)
ยากลุ่ม NSAIDs (Nonsteroidal Anti-Inflammatory Drugs) หรือยาต้านการอักเสบ/ยาแก้อักเสบที่ไม่ใช่สเตียรอยด์ ยากลุ่มนี้สามารถบรรเทาอาการปวดและอักเสบได้ระดับปานกลางจนถึงระดับรุนแรง การทำงานของยาแก้ปวด NSAIDs คือตัวยาจะไปยับยั้งเอนไซม์ COX (Cyclo-oxygenase) ซึ่งเป็นเอนไซม์ที่ก่อให้เกิดสารที่ทำให้เกิดอาการปวด ทำให้อาการปวดบรรเทาลง
ยากลุ่ม NSAIDs มีหลายชนิด ยกตัวอย่างเช่น
- ยาไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)
- ยาไดโคลฟีแน็ก (diclofenac)
- ยาไพร็อกซิแคม (piroxicam)
- ยานาพร็อกเซน (naproxen)
- คุณสมบัติของยากลุ่ม NSAIDs
- บรรเทาอาการปวดอักเสบได้หลากหลาย ไม่ว่าจะอาการปวดข้ออักเสบ ปวดข้ออักเสบรูมาตอยด์ ปวดเอ็นอักเสบ ปวดศีรษะรุนแรง ไมเกรน ปวดท้องประจำเดือน เป็นต้น
- สามารถรักษาอาการปวดได้ระดับปานกลางจนถึงระดับรุนแรง
- มีฤทธิ์ต้านการอักเสบ
- มีฤทธิ์ในการลดไข้
- ข้อควรระวังในการใช้ยา
- ยากลุ่ม NSAIDs จะต้องใช้ในการดูแลของแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น เนื่องจากเป็นยาที่มีผลข้างเคียงมากและรุนแรง
- ควรรับประทานยา NSAIDs ทันทีหลังอาหาร เนื่องจากมีฤทธิ์ทำให้เกิดอาการระคายเคืองทางเดินอาหาร เป็นแผลเลือดออกในกระเพาะ
- ห้ามใช้ในหญิงตั้งครรภ์ ผู้ป่วยโรคตับและไต
- ห้ามใช้ยากลุ่ม NSAIDs กับผู้ป่วยโรคไข้เลือดออกเด็ดขาด เนื่องจากตัวยาจะยิ่งทำให้เลือดออกง่ายกว่าเดิม
- ห้ามใช้ยาแอสไพรินกับผู้ป่วยที่กำลังผ่าตัด เนื่องจากตัวยาส่งผลต่อการแข็งตัวของเลือด ทำให้เลือดหยุดไหลยาก
3. ยากลุ่มโอปิออยด์ (Opioids)
ยากลุ่มโอปิออยด์ (Opioids) เป็นยาแก้ปวดระดับปานกลางจนไปถึงระดับรุนแรง มักนิยมใช้รักษาอาการปวดจากโรคมะเร็ง, อาการปวดหลังผ่าตัด รวมถึงอาการปวดจากปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ทั้งแบบเฉียบพลันและเรื้อรัง
- คุณสมบัติของยากลุ่มโอปิออยด์ (Opioids)
-
- ระงับอาการปวดระดับปานกลางไปจนถึงระดับรุนแรง
- ช่วยให้ผ่อนคลาย เคลิบเคลิ้ม
- ยากลุ่มโอปิออยด์บางตัวสามารถแก้อาการติดยากลุ่มโอปิออยด์ด้วยกันเองได้
- ข้อควรระวังในการใช้ยา
- ยากลุ่มโอปิออยด์ถูกจัดเป็นยาเสพติดให้โทษแก่ร่างกาย
- ระวังในการใช้ยากลุ่มโอปิออยด์ร่วมกัยยาคลายกล้ามเนื้อ, ยานอนหลับเนื่องจากอาจส่งผลให้หายใจช้าลงจนเป็นอันตราย
- ห้ามใช้ยากลุ่มโอปิออยด์ในผู้ป่วยภาวะโคม่า, มีภาวะความดันในกะโหลกสูง
กลุ่มคนที่ต้องปรึกษาแพทย์ หรือ เภสัชกร ก่อนใช้ยา
ถึงแม้ว่ายาแก้ปวดหลาย ๆ ตัวสามารถหาซื้อได้ตามร้านขายยาทั่วไป แต่ยาแก้ปวดก็มีผลข้างเคียง โดยเฉพาะผู้ป่วยที่มีโรคประจำตัวบางอย่างอาจทำให้ผลข้างเคียงรุนแรงขึ้นหรืออาการอื่นๆเช่น ปวดหัวข้างขวา ดังนั้นก่อนจะใช้ยาแก้ปวดใด ๆ ควรจะขอคำปรึกษาจากแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนจะดีที่สุด
สำหรับบุคคลในกลุ่มดังต่อไปนี้ควรจะต้องขอคำปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรก่อนใช้ยาทุกครั้ง
- ผู้ที่กำลังใช้ยาตัวอื่น ๆ อยู่ เพื่อป้องกันการใช้ยาเกินขนาด เนื่องจากยาหลายตัวมีส่วนผสมของยาแก้ปวดร่วมด้วย และยังเป็นการป้องกันการเกิดผลข้างเคียงที่เกิดจากการใช้ยาร่วมกันอีกด้วย
- ผู้ที่เป็นโรคกระเพาะ โดยเฉพาะผู้ป่วยที่ต้องใช้ยาแก้ปวดกลุ่ม NSAIDs เนื่องจากยามีฤทธิ์ทำให้เกิดอาการระคายเคืองทางเดินอาหาร
- ผู้ที่เป็นโรคหัวใจ โรคตับ โรคไต
- หญิงตั้งครรภ์
อาการปวดแบบไหนที่ไม่สามารถบรรเทาอาการด้วยยาแก้ปวดได้
ขึ้นชื่อว่ายาแก้ปวด แต่อาการปวดบางอย่างก็ไม่สามารถใช้ยาแก้ปวดบรรเทาอาการปวดได้ โดยเฉพาะยาพาราเซตามอลที่มีฤทธิ์บรรเทาอาการปวดได้ระดับเล็กน้อยจนถึงปานกลางเท่านั้น โดยอาการปวดดังต่อไปนี้เป็นอาการที่ยาแก้ปวดแบบปกติที่หาซื้อได้ตามร้านขายยา ไม่สามารถบรรเทาอาการได้
- อาการปวดรุนแรง
สำหรับผู้ป่วยที่เพิ่งเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ ผู้ป่วยมะเร็ง ผู้ที่มีอาการปวดรุนแรง จนไม่สามารถใช้เพียงยาแก้ปวดพาราเซตามอลช่วยบรรเทาอาการปวดได้ หรือแม้แต่บางครั้งยาต้านการอักเสบกลุ่ม NSAIDs ก็ไม่อาจช่วยบรรเทาอาการได้ ส่วนใหญ่ผู้ป่วยที่มีอาการปวดรุนแรงมักจะใช้ยาแก้ปวดชนิดเสพติด ซึ่งเป็นยาแก้ปวดชนิดรุนแรงที่มีฤทธิ์ระงับปวดได้มาก
- อาการปวดจากการทำงานที่ผิดปกติของเส้นประสาท
ยาแก้ปวดทั่วไปมักจะใช้รักษาอาการปวดทั่วไป เช่น ปวดศีรษะ ปวดจากการอักเสบ แต่สำหรับอาการปวดแบบอื่น ๆ เช่น ปวดร้าวจากบริเวณหนึ่งไปอีกบริเวณหนึ่ง ปวดแสบปวดร้อน ปวดแปลบ ๆ ปวดร่วมกับอาการชา ซึ่งมักจะเป็นอาการปวดจากเส้นประสาททำงานผิดปกติ โดยยาแก้ปวดทั่วไปจะไม่สามารถบรรเทาอาการปวดลักษณะเหล่านี้ได้
วิธีทานยาแก้ปวดที่ถูกต้องและปลอดภัย
จะใช้ยาแก้ปวดอย่างไรให้ปลอดภัย ลดโอกาสเกิดผลข้างเคียงและอันตรายจากการใช้ยาแก้ปวด?
- สำหรับอาการปวดทั่วไป เช่น ปวดศีรษะ ปวดกล้ามเนื้อ ที่มีระดับการปวดเล็กน้อยจนถึงปานกลาง และอาการไข้ ให้เลือกใช้ยาแก้ปวดพาราเซตามอล โดยให้รับประทานยาแก้ปวดขนาด 10-15 mg/kg น้ำหนักตัว รับประทานให้ห่างกันประมาณ 4-6 ชั่วโมง และภายใน 1 วันไม่ควรรับประทานเกิน 4,000 mg
- สำหรับอาการปวดที่มีระดับการปวดปานกลาง เช่น ปวดหัวไมเกรน ปวดท้องประจำเดือน ปวดฟัน ปวดกล้ามเนื้อ ปวดเข่า ให้เลือกใช้ยากลุ่ม NSAIDs (แพทย์หรือเภสัชกรเป็นผู้จ่ายยาเท่านั้น) โดยจำเป็นจะต้องรับประทานหลังอาหารทันทีเพื่อป้องกันยากัดกระเพาะ หรืออาจมีการใช้ยาลดกรดช่วยลดอาการระคายเคืองร่วมด้วย ส่วนปริมาณยาที่ใช้จะขึ้นอยู่กับชนิดของยานั้น ๆ
ยาแก้ปวดกินบ่อย ๆ อันตรายไหม ?
ปวดหัว ปวดโน่นนี่ ถ้ากินยาแก้ปวดบ่อย ๆ จะเป็นอันตรายไหม? ยาแก้ปวดไม่ว่าจะเป็นยาพาราเซตามอลหรือยาแก้อักเสบลดบวม (NSAIDs) ต่างก็เป็นตัวยาที่เป็นพิษต่อตับ โดยทั่วไปร่างกายจะสามารถขับพิษออกได้ แต่เมื่อใช้งานยาแก้ปวดมาก ๆ และบ่อย ๆ ทำให้เกิดการสะสมพิษเรื่อย ๆ จนอาจก่อให้เกิดอาการตับอักเสบหรืออาจรุนแรงจนตับล้มเหลวได้
อาการข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น
ผลข้างเคียงจากการใช้ยาแก้ปวดสามารถแบ่งได้ตามชนิดของยาแก้ปวด ดังนี้
1. พาราเซตามอล
ยาพาราเซตามอลเป็นยาที่มีผลข้างเคียงน้อยหากใช้งานอย่างถูกต้อง แต่อย่างไรก็ตามอาจพบผลข้างเคียงจากการใช้ยาพาราเซตามอลเกินขนาดได้ ยกตัวอย่างเช่น เป็นพิษต่อตับและไต คลื่นไส้อาเจียน เบื่ออาหาร เป็นต้น
2. ยาแก้อักเสบ
ยาแก้อักเสบกลุ่ม NSAIDs เป็นกลุ่มยาที่มีผลข้างเคียงค่อนข้างมาก เช่น ความดันโลหิตสูง ระคายเคืองต่อระบบทางเดินอาหาร เป็นพิษกับตับและไต เกิดปัญหาการแข็งตัวของเลือด ผื่นคัน ปวดศีรษะ เป็นต้น
3. ยากลุ่มโอปิออยด์
ผลข้างเคียงที่เกิดจากยากลุ่มโอปิออยด์อาจแสดงผลที่แตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยอาการที่พบได้บ่อย เช่น อาเจียน, ท้องผูก, ปัสสาวะลำบาก, ง่วงซึม, มีการตอบสนองลดลง, หายใจลำบาก, เวียนหัว, ความดันโลหิตต่ำ เป็นต้น
นอกจากนี้การใช้ยากลุ่มโอปิออยด์เป็นระยะเวลานานจะทำให้เกิดการเสพติดและเกิดความชินต่อฤทธิ์ยา ทำให้ต้องเพิ่มปริมาณยาเพื่อระงับอาการปวดและหากหยุดยากระทันหันอาจทำให้เกิดอาการผิดปกติจากการถอนยา เช่น กระสับกระส่าย, นอนไม่หลับ, เหงื่อออก, น้ำมูกไหล, คลื่นไส้, อาเจียน เป็นต้น
สามารถหาซื้อยาแก้ปวดได้ที่ไหนบ้าง ?
สำหรับยาแก้ปวดพาราเซตามอล อย่างยี่ห้อ Bakamol ซึ่งเป็นยาสามัญประจำบ้านสามารถหาซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป เช่น ร้านสะดวกซื้อ ห้างสรรพสินค้า ร้านขายยา โดยยาแก้ปวดพาราเซตามอลมักจะจัดอยู่โซนให้บริการตนเอง
แต่สำหรับยากลุ่ม NSAIDs, ยากลุ่มโอปิออยด์ ที่เป็นยาแก้ปวดแบบแรง หรือยาแก้อักเสบลดบวมจัดเป็นยาที่ต้องจ่ายโดยแพทย์หรือเภสัชกรเท่านั้น จึงมักจะได้รับยาในกลุ่มนี้จากโรงพยาบาล คลินิก หรือร้านขายยาที่มีเภสัชกรเท่านั้น
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับยาแก้ปวด
ยาแก้ปวดมียี่ห้ออะไรบ้าง
ยาแก้ปวดพาราเซตามอลที่มีวางจำหน่ายในประเทศไทยมีอยู่หลายยี่ห้อ เช่น Bakamol, Sara, Tylenol, Paracap, Cemol เป็นต้น
สรุปยาแก้ปวด
ยาแก้ปวดเป็นยาที่ช่วยบรรเทาอาการปวด โดยยาแก้ปวดมีหลายชนิดและสามารถใช้รักษาอาการปวดในรูปแบบที่ต่างกันออกไป ก่อนเลือกใช้ยาแก้ปวดควรจะต้องทราบถึงอาการปวดของตนเองเสียก่อน และควรจะต้องทราบว่ายาแก้ปวดชนิดใดจึงจะสามารถบรรเทาอาการปวดนั้น ๆ ได้ หวังว่าในบทความนี้จะช่วยให้คุณรู้จักกับยาแก้ปวดมากขึ้น และสามารถใช้งานยาแก้ปวดได้อย่างถูกต้องและปลอดภัย
Reference
Adleman, R. (2023, June 5). Painkillers. Patient.
https://patient.info/treatment-medication/painkillers
Stewart , M. (2023, Febuary 24). Paracetamol. Patient.
https://patient.info/medicine/paracetamol-calpol-disprol-hedex-panadol